NIA เผยทิศทางนวัตกรรมโลก ชี้ให้เห็นเป้าหมาย–ความท้าทายใหม่ของไทย จัดฟอรั่มเฮลท์เทคแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ระดับโลก
เอ็นไอเอเผยผลการจัดอันดับนวัตกรรมโลกชี้ให้เห็น "เป้าหมาย" และ "ความท้าทาย" ใหม่ ที่ประเทศไทยต้องผลักดันเพื่อให้ทันต่อกระแสการแข่งขันโลก พร้อมจัดฟอรั่มแลกเปลี่ยนมุมมองระดับโลกด้านเฮลท์เทคไทย
SmarketterThailand – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดกิจกรรม Global Innovation Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “Global Health Tech towards Innovation Nation...เฮลท์เทคไทยมองไกลกว่าสุขภาพ” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองระดับโลกที่จะร่วมกันผลักดันนวัตกรรมไทยสู่อนาคต โดยภายในงานมีการนำเสนอ 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index; GII) ประจำปี 2568 และก้าวต่อไปของนวัตกรรมไทย 2. แนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้านเฮลท์เทค (Global Mega Trend in Health Tech) และ 3. โอกาสและความท้าทายของธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเฮลท์เทคในระดับโลก (Global Challenge & Opportunity for Health Tech Inovative Business)

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA กล่าวว่า ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (GII 2025) ภายใต้หัวข้อ ‘Innovation at a Crossroads: Charting the Future นวัตกรรมบนจุดเปลี่ยน – การกำหนดทิศทางสู่อนาคต’ ชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา จากการชะลอตัวของอัตราการเติบโตของบรรษัทข้ามชาติรายใหญ่ รวมถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและภูมิทัศน์
ด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของโลกที่กำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม และอนาคตของนวัตกรรมจะขึ้นอยู่กับการลงทุนที่ยั่งยืน ความร่วมมือข้ามพรมแดน และการสร้างระบบนิเวศที่เปิดกว้าง เพื่อให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างอย่างแท้จริง โดยปีนี้มีตัวชี้วัดทั้งสิ้น 78 ตัวชี้วัด แบ่งเป็นดัชนีย่อย 2 ด้าน คือ 1. ดัชนีย่อยปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) ประกอบด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ ด้านสถาบัน ด้านทุนมนุษย์และการวิจัย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านระบบตลาด และด้านระบบธุรกิจและ 2. ดัชนีย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ ผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ โดยจะคำนวณจากค่าเฉลี่ยของดัชนีย่อยปัจจัยเข้าทางนวัตกรรมและดัชนีย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม
“สำหรับผลการจัดอันดับในปีนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 45 (36.7 คะแนน) จากประเทศเศรษฐกิจทั่วโลก 139 ประเทศ ลดลง 4 อันดับจากปีก่อนหน้า โดยปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรมและปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรมขยับลดลงเช่นเดียวกันอยู่อันดับที่ 46 และอันดับที่ 43 ตามลำดับ โดยประสิทธิภาพของปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลผลิตทางนวัตกรรมได้มีค่าอันดับใกล้เคียงกัน แม้ว่าผลผลิตทางนวัตกรรมได้มากกว่าปัจจัยนำเข้าที่ใส่ลงไปเพื่อพัฒนาความสามารถด้านนวัตกรรม เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน ประเทศไทยอยู่อันดับ 4 จากจำนวน 36 ประเทศ และอยู่อันดับที่ 4 ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยสิงคโปร์ครองอันดับที่ 5 ของโลก มาเลเซียอันดับที่ 34 เวียดนามอันดับที่ 44 ขณะที่ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 50 และตามมาด้วยอินโดนีเซีย อันดับที่ 55”
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากการจัดอันดับรวมทั้ง 7 ปัจจัย ประเทศไทยมีอันดับลดลงเกือบทุกปัจจัย ยกเว้นปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย (Human Capital and Research) อยู่อันดับที่ 53 (เดิมอันดับ 71) โดยปัจจัยย่อยด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อยู่อันดับที่ 36 (เดิมอันดับ 47) ขณะที่ปัจจัยที่อันดับลดลงมากที่สุดคือปัจจัยด้านด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) อยู่อันดับที่ 59 (เดิมอันดับ 50) แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านระบบตลาด (Market sophistication) ประเทศไทยยังมีอันดับที่ดี สะท้อนความสามารถในการเข้าถึงเงินทุน การขยายตลาด และการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม
รวมถึงปัจจัยตัวชี้วัดจุดแข็งจุดอ่อนของประเทศยังทำคะแนนได้ดีในหลายตัว เช่น สัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนาที่ลงทุนโดยองค์กรธุรกิจต่างๆ (GERD financed by business) ยังคงอยู่อันดับที่ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศยังมุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง จำนวนของสิทธิบัตรอนุสิทธิบัตรที่ยื่นขอหรือจดทะเบียนอยู่อันดับที่ 5 แสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เน้นการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม
“จากผลการจัดอันดับ GII 2025 นี้ NIA เชื่อมั่นว่านวัตกรรมไทยยังมีโอกาสในการก้าวต่อไป โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การเร่งสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในตลาดโลก จากจุดเด่นปัจจัยย่อยด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระบบนิเวศนวัตกรรมฝั่งอุปทานที่ต้องต่อยอดให้เกิดการใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงไปสู่ฝั่งอุปสงค์ เพื่อให้เกิดการเติบโตและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่เข้มแข็งเพื่อเร่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจของนวัตกรรม
ทั้งนี้ NIA ยังคงต้องมุ่งสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ครบวงจร ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ Groom – Grant – Growth – Global โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การเร่งผลักดันให้เกิด Thailand Innovation Hub เพื่อสร้างเครือข่ายศูนย์กลางนวัตกรรมที่เชื่อมโยงทั่วประเทศ
และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโต สร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพของไทยผ่านโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม และการยกระดับวิสาหกิจฐานนวัตกรรมให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และต่อยอดการลงทุนสู่ตลาดสากลผ่าน 3 โปรแกรม ได้แก่ Corporate Spark เน้นการจับคู่ธุรกิจกับสตาร์ตอัปนานาชาติที่มีเทคโนโลยีหรือบริการโดดเด่น Global Market Link สร้างโอกาสเชื่อมโยงและขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และ Global Investment Link ยกระดับศักยภาพเพื่อโอกาสรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ” ดร.กริชผกา กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานมีประเด็นเสวนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้าน
เฮลท์เทค โดยนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลเมดพาร์ค และนายธเนศ บุญคุณศักดิ์ Business Technology Leader บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับกระแสโลกที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และระบบสุขภาพในปัจจุบัน ตั้งแต่การมาถึงของ Longevity Economy เพื่อตอบรับกระแสของผู้คนที่หันมาเอาใจใส่กับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ก้าวต่อไปของความเป็น Global Medical Hub ไม่ว่าจะเป็นระบบวินิจฉัยดิจิทัล มาตรฐานการตรวจรักษาที่โปร่งใส และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงบริการสุขภาพเข้ากับความต้องการของผู้ป่วยต่างชาติ รวมทั้ง Quantum Computing และ AI ที่กำลังพลิกโฉมวงการสาธารณสุขด้วยระบบประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการนำมาใช้วินิจฉัยโรคที่มีความซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดกำลังท้าทายประเทศไทยในการจะเลือกเป็นเพียง “ผู้ตาม” หรือจะก้าวขึ้นมาเป็น Global Player ที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมนี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือโอกาสและความท้าทายของธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเฮลท์เทคในระดับโลกโดย ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช นายธนกฤต ประสิทธิภาพ กรรมการสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย และ พญ.เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ร่วมกันฉายภาพโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ ทั้งจากกรณีศึกษาของ Siriraj Excellent Innovation Center และ HEALTHi Lab ที่เปลี่ยนงานวิจัยในห้องทดลองให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ที่ใช้งานจริง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อให้ระบบนิเวศการวิจัยไม่หยุดอยู่ที่กระดาษ การเติบโตของตลาดที่มีความต้องการเทคโนโลยีสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ความท้าทายคือ กฎระเบียบที่ซับซ้อน การเข้าถึงทุนที่ยังจำกัด และความยากลำบากในการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ รวมทั้งมุมมองการก้าวสู่ตลาดระดับโลกของไทยผ่านการขับเคลื่อน Digital Healthcare ที่ช่วยยกระดับการบริการและประสิทธิภาพในการรักษา อันจะนำไปสู่การยอมรับในระดับสากล ซึ่งทำให้เห็นชัดว่าสุขภาพและเทคโนโลยียังคงเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ประเทศไทยนั้น โอกาสและความท้าทายในการสร้างระบบนิเวศที่พร้อม การผลักดันงานวิจัยสู่ตลาด และการสนับสนุนผู้ประกอบการเฮลท์เทคให้ก้าวออกไปแข่งขันในระดับโลกยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป




