GGC ประกาศแผนธุรกิจปี 68 ชูยุทธศาสตร์ Transformation for Future Growth

5 Mar 2025


บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ประกาศทิศทางธุรกิจและเป้าหมายสำหรับปี 2568 เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ Transformation for Future Growth  มุ่งเน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ตั้งเป้าหมายรายได้รวมมากกว่า 20,000 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์หลักเพื่อการขยายความ เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน สร้างโอกาสความสำเร็จสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน


แผนการดำเนินงานในปี 2568  GGC คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และการเติบโตจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และคาดการณ์อัตรากำไร EBITDA Margin ใกล้เคียงกับในปัจจุบันประมาณ 4% สำหรับแผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) โดยเตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแผนการเติบโตในระยะยาว รวมถึงการเพิ่มอัตรากำไร โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ไม่มีหนี้สินทางการเงิน (Debt Free) มีสถานะทางการเงินที่แข็งแรง การเตรียมความพร้อมในการจัดหาเงินทุนในรูปแบบ Sustainability Financing พร้อมที่จะจัดหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโตตามแผนกลยุทธ์


นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ  GGC เปิดเผยว่า “ปี 2568 ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบในหลายมิติ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าที่ยังคงมีแนวโน้มต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานของสินค้าและบริการสำหรับสินค้าทั่วโลก


นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องทั่วโลก ภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ความไม่แน่นอนจากนโยบายความยั่งยืนของอเมริกาและยุโรป เช่น EUDR ผนวกกับทั่วโลกมีความตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเร่งหามาตรการเพื่อบริหารจัดการต้นทุน และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม แนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากขึ้น นับเป็นโอกาสของผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของโลกได้อย่างยั่งยืน


​บริษัทฯ จึงได้มีการทบทวนโครงการลงทุนสำคัญและการเร่งดำเนินการต่างๆ อย่างระมัดระวัง โดยการปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญ ภายใต้กรอบยุทธ์ศาสตร์ Transformation for Future Growth โดยดำเนินการตาม 3 กลยุทธ์หลัก คือ เข้มแข็ง เติบโต ยั่งยืน ด้วยการปรับเปลี่ยน กลุ่มธุรกิจหลักจาก ธุรกิจพลังงานชีวภาพ (BioEnergy) ไปสู่ ธุรกิจเคมีชีวภาพ (BioChemical) 


ซึ่งยังมีความต้องการและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต รวมถึงเร่งแสวงหาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (High Value Products) ที่ให้ผลตอบแทนสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดเข้ามาเติม เพื่อให้บริษัทฯ รักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ด้วย 3 Strategic Focus ได้แก่

1. Portfolio Transformation : Transform BioEnergy to BioChemicals

2. Growth in BioChemicals by Capacity Expansion

3. Growth in Specialty Platform with Asset Light Strategy

การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯ (Portfolio Transformation)


จากสถานการณ์แนวโน้มธุรกิจพลังงานชีวภาพที่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ EV Car ทำให้แนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ลดลง ส่งผลให้ด้านการตลาดมีการแข่งขันที่สูง รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานชีวภาพมีแนวโน้มลดลง บริษัทฯ จึงมีมาตรการบริหารจัดการต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงมีนโยบายปรับโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการขยายกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพให้มากยิ่งขึ้น


ในปี 2567 ยังคงดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร (Max Integration) เพื่อบริหารจัดการต้นทุน และลดค่าใช้จ่ายทั่วทั้งองค์กร รวมถึงการสร้างความเป็นเลิศทางการตลาด เพื่อขยายการขายออกสู่ตลาดใหม่ที่มีผลกำไรสูงขึ้น นอกจากนี้ได้เริ่มดำเนินการนำเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด(Asset Utilization) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ และทดลองขายออกสู่ตลาดเรียบร้อยแล้วในช่วงปลายปี 2567 ทั้งนี้ ในปี 2568 ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อการผลิตและขายผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมาย


การขยายกำลังการผลิตของธุรกิจเคมีชีวภาพ (Growth in BioChemicals by Capacity Expansion) 


ภาพรวมธุรกิจเคมีชีวภาพ ยังมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์สำหรับของใช้ในบ้านและของใช้ส่วนตัว (Home and Personal Care Product: HPC) ประกอบกับความได้เปรียบทั้งในการเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศ 


ในปี 2567 ได้เร่งดำเนินการศึกษาโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ และการวางแผนในการบริหารจัดการวัตถุดิบให้เพียงพอและมีต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยในปี 2568 จะมีการพิจารณาแนวทางการดำเนินการและวางแผนจัดเตรียมเงินลงทุนอย่างเหมาะสมสำหรับการดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตในอนาคต


การเติบโตไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบลดการถือครองทรัพย์สิน (Growth in Specialty Platform with Asset Light Strategy)


บริษัทฯ ได้เริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) เพื่อตอบสนองแนวโน้ม Megatrend ด้านสุขภาพและความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดและเพิ่มความยั่งยืนทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์การลดการถือครองทรัพย์สิน (Asset Light Strategy) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็ว


ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำแนวคิด Market Focused Business Transformation (MFBT) มาใช้เป็นกรอบในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการตลาดและการขายที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างตรงจุด ผ่านการศึกษาและวิเคราะห์ทางการตลาดเชิงลึก เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและรายได้ใหม่ให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว

บริษัทฯ ได้ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) อาหารและส่วนประกอบอาหาร (Food & Feed) 2)เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (Cosmetics & Personal Care) 3)โภชนเภสัช (Pharmaceuticals) และ 4) เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Industrial Applications) โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA จากผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (HVP) และผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ในปี 2573 ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการศึกษาโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products) และผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) เพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัทฯ ในอนาคต


​ในปี 2567 บริษัทฯ ได้มีการขยายผลิตภัณฑ์ Probio Pro Plus+ ในกลุ่มอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ “Nutralist” เพิ่มเติมในกลุ่มคลีนิคและโรงพยาบาล นอกจากนี้ได้เริ่มดำเนินการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) ซึ่งจะมีการขายออกสู่ตลาดในปี 2568 ทั้งหมด 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวทำละลายชีวภาพ ภายใต้แบรนด์ “BioSovel” และผลิตภัณฑ์สารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเคมีชีวภาพ ที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง 


บริษัทฯ เร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตและดำเนินโครงการลงทุน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2568 อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนสำคัญใช้ระยะเวลาในการศึกษาและก่อสร้างประมาณ 4 ปี การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ใช้ระยะเวลาในการทดลองตลาดและสร้างฐานลูกค้า ประมาณ 3-5 ปี ซึ่งจากแผนกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ จะเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมได้ในปี 2572 เป็นต้นไป


เรามีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ ขณะเดียวกันก็เสริมศักยภาพในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นองค์กรที่ยั่งยืนและเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์Transformation for Future Growth  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคง และยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และประเทศไทย ด้วยการมุ่งพัฒนายกระดับศักยภาพในทุกด้านเพื่อการเติบโต ของกลุ่มธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง พัฒนาและยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต ตามวิสัยทัศน์ TO BE A LEADING GREEN CHEMICAL COMPANY BY CREATING SUSTAINABLE VALUE หรือ เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน นายกฤษฎา กล่าวทิ้งท้าย

find me on socials

Find us on Facebook

NEWS UPDATE