ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เสี่ยง “ถดถอยทางเทคนิค” ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน

13 Jun 2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% แม้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งภาคการส่งออก การแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยอดขายรถยนต์ที่หดตัว ยอดสินเชื่อที่ชะลอลง และความกังวลปัญหาหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%

      

ความไม่แน่นอนทางการค้านโยบาย "ทรัมป์" กดดันเศรษฐกิจโลก

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า


“นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการค้าและการลงทุน ซึ่งเริ่มส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดอย่างชัดเจน”
  1. องค์การ OECD ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2568 ลงเหลือ 2.9% และลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ เหลือ 1.6%
  2. ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง
  3. ความผันผวนของนโยบายสหรัฐฯ ทั้งการค้า การเงิน การคลัง และการเมืองภายในประเทศ สร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงินโลก
  4. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบ ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว


เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงเปราะบาง นักลงทุนควรติดตามทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบต่อค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย และตลาดการเงินระหว่างประเทศ


ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดการชะลอในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 โดยหากยังไม่มีความชัดเจนในเชิงนโยบาย คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.4% และ ครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเทคนิค


อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่สหรัฐฯ คงอัตราภาษีนำเข้าของหลายประเทศไว้ที่ 10% ตลอดทั้งปี

  1. คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 0.5%
  2. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้นที่ 1.8%


ดังนั้น เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอน ส่งผลต่อภาคส่งออกและการฟื้นตัวโดยรวมในช่วงครึ่งปีหลัง    


ผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า

  1. ความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในภาคการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐฯ และจีน
  2. อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องจักรกล, เหล็ก, ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเคมีภัณฑ์
  3. การแข่งขันภายในประเทศรุนแรงขึ้น จากการนำเข้าสินค้าที่มากขึ้น ส่งผลต่อผู้ผลิตในประเทศโดยตรง
  4. ต้นทุนภาคค้าปลีกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าปี 2568 สัดส่วนมูลค่าสินค้านำเข้าต่อยอดขายค้าปลีกจะอยู่ที่ มากกว่า 30%
  5. ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัว คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 จะ หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง    


แนวโน้มยอดขายรถยนต์และรายได้ภาคเกษตรไทย

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คงมองว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV) ที่เร่งขึ้น จากการแข่งขันด้านราคาของรถจากจีน ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก


 แนวโน้มสินเชื่อและหนี้เสียในระบบธนาคารไทย

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เพิ่มเติมมุมมองด้าน 

  1. ภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนยังอ่อนแอ จากความต้องการสินเชื่อที่ลดลง และต้นทุนชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น
  2. สถาบันการเงินระมัดระวังมากขึ้น จากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในระบบ
  3. ปรับลดคาดการณ์สินเชื่อปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2568 เหลือ -0.6% จากเดิม 0.6%
  4. หนี้เสีย (NPL) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าสัดส่วน NPL จะยังอยู่ในระดับไม่เกิน 3% ของสินเชื่อรวม แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง
  5. การจัดการหนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง สถาบันการเงินเน้นการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสีย เพื่อลดความเสี่ยงในระบบ


แนวโน้มกิจกรรม ESG และการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน

 ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลแนวโน้มด้าน ESG

  1. กิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนชะลอตัว จากแรงกดดันด้านเศรษฐกิจและปัจจัยลบหลายด้าน ทำให้หลายธุรกิจชะลอแผนลงทุนเพื่อความยั่งยืน
  2. การออกหุ้นกู้ด้าน ESG ลดลง โดยเฉพาะกลุ่ม Sustainable Finance ซึ่งบางส่วนเปลี่ยนมาใช้สินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์แทน
  3. สินเชื่อสีเขียวยังขยายตัวได้ดี ข้อมูลเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์ชี้ว่า การปล่อยสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมในปีนี้ยังคงขยายตัวในอัตราค่อนข้างสูง
  4. ธุรกิจที่ยังระดมทุนได้เน้นกลุ่มรายใหญ่ ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนลงทุนชัดเจนและเตรียมการไว้ล่วงหน้า
  5. เอสเอ็มอีชะลอแผน ESG หันเน้นลงทุนเฉพาะจุด โดยเลือกลงทุนในกิจกรรมที่เห็นผลตอบแทนชัดเจนในระยะสั้น เช่น
  6. แผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel)
  7. ระบบประหยัดพลังงาน
  8. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในต้อนท้ายว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ (Local Content และ Made in Thailand) รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง

ข่าวไฮไลท์

find me on socials

Find us on Facebook

NEWS UPDATE