ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เสี่ยง “ถดถอยทางเทคนิค” ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตที่ 1.4% แม้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิคจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งภาคการส่งออก การแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยอดขายรถยนต์ที่หดตัว ยอดสินเชื่อที่ชะลอลง และความกังวลปัญหาหนี้เสีย อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%
ความไม่แน่นอนทางการค้านโยบาย "ทรัมป์" กดดันเศรษฐกิจโลก

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า
“นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการค้าและการลงทุน ซึ่งเริ่มส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดอย่างชัดเจน”
- องค์การ OECD ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2568 ลงเหลือ 2.9% และลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ เหลือ 1.6%
- ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง
- ความผันผวนของนโยบายสหรัฐฯ ทั้งการค้า การเงิน การคลัง และการเมืองภายในประเทศ สร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงินโลก
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบ ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงเปราะบาง นักลงทุนควรติดตามทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบต่อค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย และตลาดการเงินระหว่างประเทศ
ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดการชะลอในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 โดยหากยังไม่มีความชัดเจนในเชิงนโยบาย คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.4% และ ครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเทคนิค
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่สหรัฐฯ คงอัตราภาษีนำเข้าของหลายประเทศไว้ที่ 10% ตลอดทั้งปี
- คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 0.5%
- เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้นที่ 1.8%
ดังนั้น เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอน ส่งผลต่อภาคส่งออกและการฟื้นตัวโดยรวมในช่วงครึ่งปีหลัง
ผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า
- ความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในภาคการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐฯ และจีน
- อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องจักรกล, เหล็ก, ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเคมีภัณฑ์
- การแข่งขันภายในประเทศรุนแรงขึ้น จากการนำเข้าสินค้าที่มากขึ้น ส่งผลต่อผู้ผลิตในประเทศโดยตรง
- ต้นทุนภาคค้าปลีกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าปี 2568 สัดส่วนมูลค่าสินค้านำเข้าต่อยอดขายค้าปลีกจะอยู่ที่ มากกว่า 30%
- ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัว คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 จะ หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง
แนวโน้มยอดขายรถยนต์และรายได้ภาคเกษตรไทย

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คงมองว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่ -1.7% YoY เทียบกับ -1.0% YoY ในช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV) ที่เร่งขึ้น จากการแข่งขันด้านราคาของรถจากจีน ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัวจากแรงกดดันทั้งด้านราคาและความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก
แนวโน้มสินเชื่อและหนี้เสียในระบบธนาคารไทย

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เพิ่มเติมมุมมองด้าน
- ภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนยังอ่อนแอ จากความต้องการสินเชื่อที่ลดลง และต้นทุนชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น
- สถาบันการเงินระมัดระวังมากขึ้น จากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในระบบ
- ปรับลดคาดการณ์สินเชื่อปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2568 เหลือ -0.6% จากเดิม 0.6%
- หนี้เสีย (NPL) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าสัดส่วน NPL จะยังอยู่ในระดับไม่เกิน 3% ของสินเชื่อรวม แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง
- การจัดการหนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง สถาบันการเงินเน้นการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสีย เพื่อลดความเสี่ยงในระบบ
แนวโน้มกิจกรรม ESG และการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน

ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลแนวโน้มด้าน ESG
- กิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนชะลอตัว จากแรงกดดันด้านเศรษฐกิจและปัจจัยลบหลายด้าน ทำให้หลายธุรกิจชะลอแผนลงทุนเพื่อความยั่งยืน
- การออกหุ้นกู้ด้าน ESG ลดลง โดยเฉพาะกลุ่ม Sustainable Finance ซึ่งบางส่วนเปลี่ยนมาใช้สินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์แทน
- สินเชื่อสีเขียวยังขยายตัวได้ดี ข้อมูลเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์ชี้ว่า การปล่อยสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมในปีนี้ยังคงขยายตัวในอัตราค่อนข้างสูง
- ธุรกิจที่ยังระดมทุนได้เน้นกลุ่มรายใหญ่ ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนลงทุนชัดเจนและเตรียมการไว้ล่วงหน้า
- เอสเอ็มอีชะลอแผน ESG หันเน้นลงทุนเฉพาะจุด โดยเลือกลงทุนในกิจกรรมที่เห็นผลตอบแทนชัดเจนในระยะสั้น เช่น
- แผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel)
- ระบบประหยัดพลังงาน
- รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในต้อนท้ายว่า เพื่อรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ (Local Content และ Made in Thailand) รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่ คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง




