ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่งสัญญาณเตือน วินัยการคลังไทยอ่อนแรง กดดันสถาบันจัดอันดับทบทวนเครดิต

16 Nov 2025

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้การคลังเป็นความเสี่ยงต่อการทบทวนปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ต้องมีแผนลดขาดดุลการคลังอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ


ทำไม “สัญญาณเชิงลบ” ครั้งนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การที่สถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือปรับมุมมองประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” แม้ยังคงอันดับเครดิต BBB+ อาจฟังดูเหมือนยังไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า นี่คือสัญญาณที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการคลังที่สะสมต่อเนื่องมาตั้งแต่โควิด และอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยถูก “ปรับลดอันดับเครดิตจริง” ในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า หากไร้มาตรการแก้ไขเชิงรูปธรรมสถานการณ์นี้ไม่ใช่เพียงประเด็นเศรษฐกิจ แต่กระทบตั้งแต่ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐ ไปจนถึงความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตานักลงทุนต่างชาติ


ภาพรวมสถานการณ์: การคลังไทยอ่อนแอกว่าประเทศระดับเดียวกัน

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ความเปราะบางของฐานะการคลังไทยเด่นชัดเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ในระดับเครดิต BBB+ หรือ Baa1 โดยไทยยังเผชิญการขาดดุลการคลังในระดับสูงต่อเนื่อง และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเร็วหลังวิกฤตโควิด


หากเศรษฐกิจเติบโตเพียง 2% ต่อปี การขาดดุลอาจยังเกิน -4% ของ GDP ขณะที่หนี้สาธารณะมีแนวโน้มขึ้นสู่ระดับเพดาน 70% ภายในปี 2570 จึงจำเป็นที่แผนการคลังระยะปานกลางของรัฐบาลต้องสะท้อนทิศทางการฟื้นวินัยการคลังอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม


บทเรียนจากต่างประเทศ: ลดขาดดุล “แบบมีวินัย” ถึงรอด

ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บทเรียนจากหลายประเทศชี้ชัดว่า การดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกสามารถช่วยรักษาอันดับความน่าเชื่อถือได้ เช่น อิตาลีที่ลดขาดดุลจาก 8% เหลือต่ำกว่า 4% ของ GDP ภายในเวลาไม่กี่ปี ด้วยมาตรการเพิ่มรายได้ควบคู่การปรับปรุงประสิทธิภาพรายจ่าย


ในทางกลับกัน ประเทศที่ปล่อยให้ขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น ฝรั่งเศส ต้องเผชิญการถูกปรับลดมุมมองและอันดับเครดิต รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับลดเครดิตในระดับประเทศไม่ได้หมายความว่าอันดับเครดิตของภาคเอกชนจะลดลงเช่นกัน เพราะยังขึ้นกับฐานะการเงินเฉพาะราย


ไทยควรทำอะไร: กลยุทธ์ลดขาดดุลแบบยั่งยืน

ปริชญา ฤทธิ์สุข นักวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า การลดขาดดุลของไทยจำเป็นต้องเริ่มจากการเพิ่มรายได้ภาครัฐ เนื่องจากรายการรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นรายการที่ปรับลดได้ยาก ในระยะสั้น มาตรการเพิ่มรายได้แบบเฉพาะจุดอาจช่วยพยุงภาพรวมได้บางส่วน


ในระยะกลางถึงยาว การปฏิรูปฐานข้อมูลเพื่อให้การจัดสวัสดิการตรงกลุ่มเป้าหมาย การขยายฐานภาษี และการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางการคลัง และลดความเสี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต


Strategic Insight: ทำไม “วินัยการคลัง” คือฐานของความน่าเชื่อถือประเทศในยุคใหม่

อันดับเครดิตไม่ใช่แค่สัญลักษณ์บนกระดาษ แต่เป็นตัวชี้วัดความแข็งแรงของประเทศในสายตานักลงทุนโลก หากถูกปรับลด จะกระทบต้นทุนกู้ยืม การลงทุนภาคเอกชน และค่าใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นระยะยาว

  1. ประเทศที่มี “วินัยการคลังแบบยั่งยืน” จะสามารถรักษาความเชื่อมั่นได้แม้ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอ
  2. ประเทศที่ “เลื่อน–เลี่ยง–ดึงเวลา” จะเสี่ยงถูกบีบด้วยต้นทุนทางการเงินและมุมมองความเสี่ยงที่สูงขึ้น


ไทยยังมีเวลาในการพลิกสถานการณ์ หากรัฐบาลแสดงเจตนารมณ์ชัดเจน พร้อมแผนลดขาดดุลที่เป็นรูปธรรมและปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจควบคู่กัน นี่คือโอกาสรักษาอันดับเครดิต และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ข่าวไฮไลท์

find me on socials

Find us on Facebook

NEWS UPDATE