เซ็นทรัลพัฒนา รับโล่องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก ระดับยอดเยี่ยม 2 ปีซ้อน ย้ำความสำเร็จเป้าหมายองค์กร Net Zero ในปี 2050
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining Better Futures For All รับโล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก (Climate Action Leading Organization CALO) ประจำปี 2567 ระดับยอดเยี่ยม
ด้วยผลการประเมินระดับ Gold ในหมวดการตรวจวัด (Measure) และการลดก๊าซเรือนกระจก (Reduce) และระดับ Bronze ในขั้นตอนการชดเชยก๊าซเรือนกระจก (Contribute) สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ภายใต้หลักการ ESG เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยปฏิบัติตามนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง พร้อมดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก
โดยอ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ ตามแนวทาง SBTs (Science Based Targets) ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 โดยแบ่งกิจกรรมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างการก่อสร้าง มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานศูนย์การค้า และการชดเชยคาร์บอน
โดยยึดแนวทางตามมาตรฐานสากล ได้แก่ อาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมาตรฐานอาคารเขียวในระดับนานาชาติ (LEED: Leadership in Energy & Environmental Design) เกณฑ์การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย (TREES – Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) และเกณฑ์การประเมินมาตรฐานอาคารสุขภาวะดีในระดับสากล
ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ได้รับการรับรองมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิศเศส จี ทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 เซ็นทรัล จันทบุรี เซ็นทรัล เวสต์วิลล์เซ็นทรัล นครสวรรค์ เซ็นทรัล นครปฐม เป็นต้น”
ในปีที่ผ่านมา เซ็นทรัลพัฒนา ประสบความสำเร็จในลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้กว่า 189,414 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ คิดเป็นร้อยละ 21.6 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562 ผ่านโครงการต่างๆ เช่น
1) การใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 26,011 เมกะวัตต์-ชั่วโมง จากการติดตั้ง Solar Rooftop และ Solar Carport กำลังการผลิตรวม 29.4 เมกะวัตต์ รวม 31 โครงการ ใน 28 ศูนย์การค้า (68% ของจำนวนศูนย์การค้าทั้งหมด) 1 โรงแรม และ 2 สำนักงาน
2) การปรับปรุงระบบปรับอากาศโดยการนำเทคโนโลยี IoT และ AI มาช่วยประมวลผล และควบคุมการใช้พลังงาน
3) การติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) เพื่อลดการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง รวม 570 ช่องชาร์จ ใน 40 ศูนย์การค้า
4) การดำเนินโครงการ Green Partnership รวมพลังพันธมิตรลดโลกร้อน ให้ความรู้ และขอความร่วมมือแบรนด์นำร่อง จำนวน 46 แบรนด์ ในการลดใช้ไฟฟ้า โดยสามารถลดการใช้พลังงานไปได้ 318,169 กิโลวัตต์-ชั่วโมง และในปีนี้ได้ขยายความร่วมมือกว่า 163 แบรนด์ 2,252 ร้านค้า
5) การติดตั้ง Recycle Station เป็นจุดรับขยะแยกประเภทสำหรับช้อปเปอร์ และร้านค้า เพื่อเปลี่ยนขยะให้มีมูลค่า ก่อนส่งต่อไปรีไซเคิล และแปรรูปอย่างเหมาะสม จำนวนกว่า 31,425 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 67 ซึ่งสามารถลดสัดส่วนขยะฝังกลบลงได้ที่ร้อยละ 38 ของปริมาณขยะทั้งหมด
6) การประหยัดน้ำ และติดตั้งระบบผลิตน้ำรีไซเคิลใน 18 โครงการทำให้สามารถบำบัดน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ จำนวน 617,371 ลูกบาศก์เมตร
7) การดำเนินโครงการปลูกป่าดูดซับคาร์บอน 150,000 ต้น รวมถึงการชดเชยด้วย I-RECS และคาร์บอนเครดิต เป็นต้น
เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงมุ่งมั่นสานต่อโครงการตามแนวทาง Journey to Net Zero 2050 อย่างต่อเนื่อง โดยมีความก้าวหน้าต่อเนื่องตามแผนในด้านต่างๆ ทั้ง Energy การใช้พลังงานสะอาด ติดตั้ง Solar Rooftop หรือ Solar Street Light ในทุกศูนย์การค้า 100% Water ลดการใช้น้ำ ใช้น้ำซ้ำ และนำน้ำกลับมาใช้ใหม่
พร้อมติดตั้งระบบผลิตน้ำรีไซเคิล Waste สามารถแปลงขยะเพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ และ Air ดูแลคุณภาพอากาศให้ได้มาตรฐานและยกระดับมาตรการ PM 2.5 เป็นต้น เพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณค่าให้กับผู้คนเติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน